Past Existence 1
สายลมร้อนพัดสาดทั่วทะเลทรายฝีเท้าเหล่าม้ามากมายสร้างฝุ่นตลบมากมายตามหลังกลุ่มคนรวม
20 คนทั้งหมดสวมเสื้อยาวคลุมขามีแขนยาวทับด้วยเสื้อคลุมสีดำบนหัวของทุกคนสวมผ้าคลุมครอบด้วยห่วงเชือกเป็นเครื่องแต่งกายที่เราสามารถพบได้ทั่วไปของประเทศทะเลทรายเช่น
ดูไบ ฯลฯ ข้างเอวเหน็บดาบทรงเดียวกันกับของชาวตุรกีในอดีต
คนนำหน้าสุดส่งสัญญาณให้ทั้งหมดหยุดยามที่ขึ้นมายังสุดเนินทรายโดยทางทิศ 1
นาฬิกาเป็นที่ตั้งของคณะโบราณคดี
“เพื่ออุดมการณ์ในอดีตและเพื่อประเทศของเรา”
ชายผิวสีแทนวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าของกลุ่มผู้เห็นต่างชักดาบออกมาชูขึ้นเหนือพร้อมเสียงร้องโห่ของคนที่เหลือทั้งหมดวิ่งมุ่งไปยังเป้าหมาย
.
.
.
.
.
ภายในเต็นท์ในร้อนระอุเนื่องจากสภาพอากาศไม่ได้ทำให้การทำงานของเหล่านักโบราณคดีช้าลงเลยเสียงการแลกเปลี่ยนความคิดดังตลอดเวลาที่พบโครงกระดูกโดยที่แรงงานที่พวกเขาจ้างบางส่วนก็พากันพักทานอาหารอีกส่วนทำหน้าที่ขนทรายจากหลุมขนออกไปทิ้งด้านนอก
หากแต่ควันฝุ่นตลบเรียกความสนใจของคนงาน
“จารย์ๆๆๆ
พวกของคุณมาสมทบเพิ่มครับ”
คนงานหนุ่มตะโกนรายงานให้กับปรวีย์ตามคำสั่งที่ไว้ให้ตั้งแต่เริ่มจ้าง
ทั้งสามคนที่กำลังแลกเปลี่ยนความคิดกันหยุดชะงักพร้อมอาการอึ้งกันจนเป็นปรวีร์ที่ได้สติก่อนควักเครื่องสื่อสารดาวเทียมส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตอเมริกาในแอลจีเรียแต่ถึงจะส่งไปสำเร็จความช่วยเหลือก็ยังไม่มาช่วยพวกเขาในตอนนี้ทัน
สิ่งที่ต้องเอาชีวิตด้วยการแก้ไขเฉพาะหน้าจึงเป็นเรื่องที่คนอาวุโสที่สุดอย่างปรวีร์ต้องขบคิด
“บาซิมไปบอกกับทุกคนเร่งละทุกอย่างที่ทำอยู่หยิบของที่จำเป็นสำหรับกลับไปยังตัวเมืองบอกบอกสิ่งที่เกิดขึ้นและชี้ตำแหน่งของพวกเราเอาคนไปให้ได้มากที่สุดและพาทั้งสองคนนี้ไปด้วย”
ปรวีร์ชี้ไปยังศิษย์ทั้งสอง
“ศ.นี่มันยังไงกันครับ”
“ใช่ค่ะ
ชาประมวลไม่ทันแล้วค่ะ คือ...มันยังไงค่ะ”
“ผมก็ไม่รู้เรื่องเท่าไร
แต่สังหรณ์มันเตือนว่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นมันไม่ใช่อะไรที่ดีนัก”
ปรวีร์หันมองกลุ่มฝุ่นอันสุดตานั้นโดยยื่นแขนออกไปจนสุดพร้อมยกนิ้วโป้งขึ้นมาหรี่ตามองมันสลับกับนาฬิกาข้อมือ
“เราคงมีเวลาไม่ถึงนาที
เร่งเข้า!! ผมจะอยู่ที่นี้เป็นคนเจรจาและส่งพวกคุณให้ปลอดภัย
ทางของพวกนายจะมีคนงานเป็นคนคุ้มกัน”
“แต่ศ.ครับ
คุณคนเดียว”
“อย่างน้อยครั้งหนึ่งผมก็เคยเป็นทหาร
การเอาตัวรอดคือสิ่งที่ผมถนัด”
“แต่.....”
“หน้าที่ในการรับผิดชอบชีวิตคนอื่นเป็นหน้าที่ของหัวหน้านะทิธิติ
อีกอย่างคือ ผมมีปืน”
“ครับ
ผมจะกลับมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ให้เร็วที่สุดนะครับ” ทิธิติรับคำอย่างหนักแน่นมือจูงมือชาคริยาที่ทำตาละห้อยมายังอาจารย์ของตน
ทั้งสองรู้ว่าอาจารย์ของตนนั้นหัวรั้นเพียงใดทั้งในอดีตเป็นถึงทหารหน่วยรบพิเศษU.S. Army Green
Beretsของสหรัฐความกังวลจึงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทิธิติคิด ความวุ่นวายจบลงตอนนี้ภายในเต็นท์นี้เหลือเพียงปรวีร์ยืนรออยู่กลุ่มฝุ่นนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ความกังวลในคราแรกกลับเป็นผ่อนคลายมือหยาบล้วงปืนพกBERETTA 92FSออกจากกระเป๋าสัมภาระเช็คสภาพปืนโดยสไลด์เช็คกระสุน9มม.ให้มีภายในรังเพลิงไว้ลดนกแต่ยังไม่ปลดเซฟ
เก็บปืนใส่ซองหนังใต้รักแร้สวมเสื้อกั๊กเดินป่าทับปิดอีกที
ไม่นานนักเหล่ากลุ่มคนบนหลังม้าก็เข้าประชิดในเขตขุดค้น
รอบตัวของปรวีร์โดยล้อมไว้ด้วยกลุ่มคนปริศนา
“ผมไม่รู้ว่าพวกคุณมีจุดประสงค์อะไรนะ
แต่อย่าได้ยุ่งกับโครงกระดูกได้ไม” ปรวีร์พูดออกมาด้วยภาษาอังกฤษซึ่งแน่นอนว่าอีกฝั่งฟังไม่รู้เรื่อง
“จับมันไว้ยังไงก็เป็นประโยชน์กับเราที่เหลือไปหาพวกที่เหลือ”
หัวหน้าของกลุ่มปริศนาพูดด้วยภาษาออซ์เฟียนิส
นี่คือเหตุผลที่ปรวีร์เรื่องที่จะพูดภาษาอื่นก่อนเพราะอยากจะทราบถึงข้อมูลและจุดมุ่งหมาย
“คุณๆ
ฟังผมออกไม” ปรวีร์ปรี้เข้าประชิดตัวหัวหน้าแต่ก็โดนจับกดให้หมอบกับพื้นเมื่อพยายามขัดขืนก็โดนต่อยเข้าที่ใบหน้าและโดนเตะที่ลำตัวอีกหลายครั้ง
“พอๆเดี๋ยวมันจะไม่รอดจนถึงเมืองของเราหรอก”
“ครับท่าน”
“หากแผนการเราสำเร็จจะเอาเจ้าพวกนี้ไปทำอะไรก็ตามสบายเลย
หน้าเจ้านี่มันสวยใช้ได้เลย” แม้จะรู้สึกขยะแขยงเท่าใดปรวีร์ต้องทำหน้าไม่เข้าใจบทสนทนานั้น
“หากท่านทำสำเร็จเราจะล้มอำนาจของเจ้าเด็กเปรตวาเรรี่และขึ้นเป็นราชาแห่งออซ์ฟอส”
ปรวีร์สะดุ้งกับชื่อเมือง
สมองประมวลผลอย่างรวดเร็วและตัดสินใจทันทีว่าจะไม่ใช้ปืนนี้จนกว่าจะได้เข้าสู่ประเทศปิดนี้
.
.
.
.
‘ประเทศเกิดของตัวเราในอดีต’
กลุ่มคนปริศนาจับกุมปรวีร์ด้วยตรวนสมัยโบราณที่เคยเห็นตามพิพิธภัณฑ์แต่ก็ดีหน่อยที่ไม่มีลูกตุ้มถ่วงเอาไว้ต่อโซ่ไว้ให้หัวหน้ากลุ่มเป็นคนจูงปรวีร์ขัดขืนพอเป็นพิธีแต่ก็แลกกับการโดนซ้อมที่ไม่ได้หนักหนาถึงขั้นทนไม่ไหวแต่เป็นการเดินทางที่โหดร้ายมากกว่าด้วยความร้อนระอุทั้งยังต้องเดินตลอดซ้ำตอนดึกกลับหนาวเย็นจนตัวสั่น
การเดินทางกินเวลาไป 2 วัน
‘เมืองออซ์ฟอสหรอ ถ้าใช่จริงคงเป็นกำไรที่สุด’ ความสงสัยเกิดขึ้นในใจขณะเดินเหม่อลอยอยู่ท่ามกลางแดดร้อน
“ฟิ้ว”
บางอย่างลอยตัดหน้าของปรวีร์ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของม้าและเสียงโวยวาย
“ทหารลาดตะเวนพบเราแล้ว”
“ฆ่า
ฆ่าพวกมันให้หมด”
“ราชาวาเรรี่มาด้วย
มันออกจากเมืองอีกด้วย”
“ถ้ามันมาก็ฆ่ามันด้วย
ไป ฆ่ามัน!!!” เสียงกู่ร้องมาพร้อมกับการปะทะกันส่วนปรวีร์วิ่งหลบเท้าม้าไปมาสมองสั่งแต่ว่าหลบหนีให้พ้นจากสนามรบนี้
สองเท้าวิ่งไม่หยุดหากกลับมีม้าของใครบ้างคนวิ่งตัดหน้าสองเท้าหน้ายกขึ้นมาตะกาย
“ยู..ริ”
ปรากฏร่างสูงโปร่งผิวแทนผมสีอเมทิสยาวสยายตามแรงลมและแรงโบกสะบัดสองมือกุมบังเหียนโครงหน้าติดหวานนิ่งขรึมบวกกับด้วยตาคมดังเหนี่ยวนั้นปรายตาลงมองปรวีร์แลดูสูงศักดิ์และหยิ่งทะนงในเวลาเดียวกัน
“ทหารบุก!!!”
ร่างโปร่งนั้นไม่สนใจอะไรปรวีร์และยังหันกล้บสั่งการทหารพร้อมทั้งตนก็เข้าไปสู้รบด้วย
ปรวีร์ที่ถูกทิ้งได้แต่นิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูกน้ำตาค่อยๆไหลโดยที่ไม่สามารถบังคับอะไรได้ความทรงจำเก่าย้อนมาใบหน้าของคนรักในอดีตซ้อนทับกับคนเมื่อกี้สองเท้าที่ตั้งใจวิ่งหนีได้แต่ยืนนิ่งมองการฟาดฟันกัน
เสียงการปะทะของดาบผู้บาดเจ็บมากมายนอนร้องโอดโอยสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้สายตาของปรวีย์ละจากเจ้าของผมสีอเมทิสจนการสู้กันจบลงร่างโปร่งลงจากม้าเดินตรงเข้าหา
“อย่าขยับ”
ปรวีร์สองมือที่โดนตรวนไว้ชักปืนที่เก็บไว้ออกมาปลดเซฟและตั้งท่าเตรียมยิง
ร่างโปร่งเจ้าของผมอเมทิสหยุดเดินแล้วขมวดคิ้ว นิ้วชี้ลั่นไกส่งกระสุนไปโดนคนด้านหลังที่กำลังง้างดาบจะฟันร่างโปร่งกระสุนเจาะเข้ากลางหน้าผากอย่างแม่นยำ
“ดี
ควรค่าแก่การนำกลับประเทศอยู่นะ”